Support
รู้ไว้ใช่ว่า
0906925132
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
จำนวนครั้งที่เปิดดูสินค้า : 442 | ความคิดเห็น: 1

รถเมล์แก้ปัญหารถติด

 เพิ่มเมื่อ: 2016-05-22 12:51:20.0
 แก้ไขล่าสุด: 2016-08-11 22:07:30.0
 เบอร์โทรติดต่อ: 0906925132
 อีเมลล์: vjkolvodf@outlook.co.th

รายละเอียด:
ปัญหารถติด เกิดจากการใช้รถเก๋งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แก้ได้โดย ใช้วิธีรถเมล์ x 3 คือ การทำให้รถเมล์วิ่งได้เร็วขึ้น 3 เท่า เพื่อทำให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์เพิ่มมากขึ้น (มากๆๆๆๆ) เพื่อทำให้ท้ายแถวรถติดหดสั้นลง จึงทำให้ปัญหารถติดลดน้อยลง
ไม่ระบุราคา

 สินค้าที่เกี่ยวข้อง

ชื่อสินค้า 1

 

                                        ร ถ เ ม ล์                   

                                       แก้ปัญหารถติด

       ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์  

      โทร  0906925132

        เชิญ ศ. หรือ ดร. หรือ นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ (ทุกประเทศในโลกแต่ต้องเป็นภาษาไทยเท่านั้น เพราะผมอ่านได้ภาษาเดียว) หรือ ตำรวจจราจรถึง ผบกจร. หรือ ข้าราชการ ถึงนายก หรือเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ คนรวย หรือ จนเรียนมาก หรือ น้อย ก็ได้ เห็นด้วยหรือเห็นต่าง ก็ได้ โปรดช่วยแสดงความเห็น เพื่อมาถกเถียงกัน (ตามหลักวิทยาศาสตร์) เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น (ท่านไม่ต้องเกรงใจผม ผมเองก็ไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว) แต่ไม่โกรธไม่เกลียดกันมีแต่ขอบคุณอย่างเดียวครับ

      ถ้าท่านดูวีดีโอ และ อ่านข้อความนี้หมด (อย่างมีสมาธิ) จะเห็นแนวทางแก้ปัญหารถติดทันที 

       ถึงจะเป็นเพียง 1 ใน 100 หรือ 1 ใน ล้าน ถ้ามันถูกมันก็ต้องถูก  
       เรื่องบางเรื่อง (ที่ยากๆ) ไม่สามารถ ใช้เสียงส่วนใหญ่ มาตัดสินถูกผิดได้
       เช่น เรื่อง วิธีแก้รถติดใน วีดีโอ นี้  เช่น การดูเพชรแท้ เพชรเทียม การดูทองปลอม ทองแท้ และ เรื่อง วิธีแก้รถติดใน วีดีโอ นี้ เป็นต้น

       เพราะเรื่องเหล่านี้ จะต้องใช้ผู้มีความรู้ (เชียวชาญมากๆ) ในเรื่องนั้นๆ มาตัดสินถูกและผิด (ไม่ใช่ใช้เสียงส่วนใหญ่)

       ผมจบ ม. 3 (เชื่อว่ารถเมล์เท่านั้น ที่จะสามารถแก้ปัญหาจราจรได้ในทันที)     
       
                                  ทำ ไ ม ปั ญ ห า ร ถ ติ ด จึ ง ยั ง แ ก้ ไม่ ได้ ? ? ?
       
       คำตอบ คือ เพราะรัฐไม่เห็นคุณค่ารถเมล์
       รัฐจะต้องทำให้ระบบขนส่งมวลชน (รถเมล์) ดีมากๆ (ก่อน)
       แต่รัฐก็ไม่ยอมปรับปรุงรถเมล์ให้ดีๆ ก่อน  แล้วค่อยมาชวน ให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนไปใช้รถเมล์
       แล้วรถเมล์ ไม่ดีอย่างไรหล่ะ ? ? ?
       ตอบ ไม่ดีหลายอย่างมากๆ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ความเร็ว เพราะรถเมล์วิ่งช้ากว่ารถเก๋งมากๆ (ไ ม่ แ ก้ ไ ม่ ไ ด้ เ ด็ ด ข า ด) ส่วนข้อเสียอื่น เช่น ไม่เป็นส่วนตัว ลำบากยากเย็น รถเมล์เอกชนชอบซิ่ง แซง เบียด พูดจาไม่ดี .....ฯลฯ เป็นต้น
       รัฐ ดีแต่พูดอ้อนวอน (โปรดมาช่วยกันใช้รถเมล์กันเถิดๆๆๆๆ) มันจึงเป็นคำอ้อนวอนที่เปล่าประโยชน์
       รถไฟฟ้า ทุกท่านก็จะบอกว่า ดี มีมาตรฐานเทียบเท่า (ใกล้เคียง) ประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่มีจำนวน (โบกี้) น้อยเกิน และ จำนวนเส้นทาง ไม่ทั่วถึง ดังนั้นมีทางเดียว คือ ต้องรอก่อสร้าง (อีกหลายๆปี) และ ซื้อโบกี้เพิ่ม เท่านั้น
       รถไฟฟ้า เปรียบเหมือน พระเอก นางเอก โอกาสจะทำศัลยกรรมให้สวยขึ้น หรือ หล่อขึ้นยากมากๆ 
       จึงปรับปรุงรถไฟฟ้า ให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบันนี้ ยากมากๆหรือ ไม่ได้เลย 
       ดังนั้น ต่อไปนี้ จึงขอไม่พูดถึงรถไฟฟ้าอีก
       
       รถเมล์ เปรียบเหมือนเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ (ไม่หล่อ ไม่สวย) ดังนั้น ถ้านำไปทำศัลยกรรม โอกาสจะทำให้สวยขึ้น หล่อขึ้นง่ายมากๆ
       ดังนั้น ต่อไปนี้ จะพูดถึงเฉพาะรถเมล์เท่านั้น (เพราะยังปรับปรุงได้อีกมากมาย) เช่น ต้องทำให้รถเมล์ วิ่งเร็วกว่ารถเก๋งมากๆ และ ต้องปรับปรุงรถเมล์เอกชน ทั้งคุณภาพ และ บริการ (ถ้ามีเงิน) เป็นต้น
       หมายเหตุ รถเมล์ในที่นี้ จะหมายถึง รถตู้ด้วย เพราะวิ่งในช่องบัสเลนเหมือนกัน แต่ขอเรียกสั้นๆว่า "รถเมล์" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (แต่จะหมายถึงรถตู้ด้วยเสมอ)
       หมายเหตุ รถเก๋งในที่นี้ จะหมายถึง รถมอเตอร์ไซค์ กับ รถแท็กซี่  ด้วย เพราะ รถทั้ง 3 ชนิดนี้วิ่งในช่องสำหรับรถเก๋งเหมือนกัน แต่ขอเรียก รถทั้ง 3 ชนิดนี้สั้นๆ ว่า "รถเก๋ง" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่จะหมายถึง รถมอเตอร์ไซค์ และ แท็กซี่ ด้วยเสมอ
       
     รัฐ ตัดถนนเพิ่ม สร้างทางข้ามสี่แยก ทางลอดสี่แยกเพิ่ม หรือสะพานข้ามแม่นำ้เจ้าพระยาเพิ่ม หรือ สร้างทางด่วนทางพิเศษ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา (ทุกปี ๆ)
      แต่ทำไม ยังมีรถติดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ???
      ตอบ เพราะ การก่อสร้างทั้งหมดนี้ ทำให้รถเก๋งทั้งหมด ไม่ได้ทำให้รถเมล์เลย
      ท่านอาจจะเถียงว่า รถเมล์ กับ รถเก๋ง ในปัจจุบัน มันก็วิ่งปะปนกันนั้นแหล่ะ

     ดังนั้นรถเมล์ก็น่าจะได้ประโยชน์เท่ากับรถเก๋ง ทุกประการ
      มันก็จริง แต่รถเมล์มีภาระจะต้องรับส่งผู้โดยสาร ที่ป้ายรถเมล์ด้วย จึงวิ่งช้ากว่ารถเก๋งมากๆ (ดังนั้นรถเมล์จึงได้ไม่เท่ารถเก๋ง)

     จึงทำให้รถเมล์วิ่งช้ากว่ารถเก๋งมากๆ

     จึงทำให้ผู้ใช้รถเมล์เปลี่ยนไปใช้รถเก๋งมากๆ และรวดเร็ว

     จึงทำให้ปัญหารถติด เ พิ่ ม ม า ก ขึ้ น เ รื่ อ ย ๆ (ดังที่เห็นในปัจจุบัน) 
      

 

     นอกจากนั้น รถเก๋ง ยังมีความเป็นส่วนตัว มีแอร์ มีความโก้หรู เร็วกว่า ขนของได้มากกว่า จะเลี้ยวซ้าย หรือ ขวา ได้ตามต้องการ ไม่ต้องต่อรถ ไม่ต้องรอรถ และ .....ฯลฯ
       จึงทำให้ผู้ใช้รถเมล์ เปลี่ยนไปใช้รถเก๋งเพิ่มมากขึ้น (อย่างรวดเร็ว) และ ทำให้ท้ายแถวรถติดยาวมากขึ้นไปด้วย
      

      แต่ถ้า รั ฐ ต้ อ ง ก า ร จะ   แ  ก้  ปั  ญ  ห  า  ร  ถ  ติ  ด
      
       รัฐจะต้องหยุดแจกเงินรถเก๋ง ทั้งหมด   แล้วเอาเงินทั้งหมด ที่เคยให้รถเก๋ง เปลี่ยน 360 องศา มาให้รถเมล์ เพียงอย่างเดียว (ทั้งหมด) แทน
      อ่าว ! ! ! ! แล้วอย่างงี้ รถเก๋ง ไม่อดตาย (ติด) กันหมดหรือ ????
      ถ้ารถเก๋ง อดตาย (เลิกใช้รถเก๋ง) กันหมด คงเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง (ขำๆๆ)
      แต่ในความเป็นจริง การหยุดตัดถนนเพิ่ม หยุดสร้างทางข้าม ทางลอดสี่แยกเพิ่ม และ หยุดสร้างทางด่วน ทางพิเศษเพิ่ม และ หยุดสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มทั้งหมด (ทันที) จะไม่ทำให้ผู้ใช้รถเก๋งสะดุ้งสะเทือนเลย (แม้แต่น้อย)
      เพราะสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ยังสร้างไม่เสร็จ จึงยังไม่เคยเปิดใช้ (เมื่อไม่เคยได้ ย่อมไม่เสียอะไร) นอกจากโอกาสจะยืดยาวออกไป
      
      ตรงข้าม การหยุดก่อสร้างสิ่งเหล่านี้ จะช่วยเปิดเลนที่เคยถูกปิด (เพื่อก่อสร้าง) ทันที
      
       แต่ ถ้าจะพูดกันตามกฎหมาย (จริงๆ) การสั่งให้หยุด หรือ สั่งให้ชลอการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างเหล่านี้  อาจทำไม่ได้ เพราะได้มีการทำสัญญากันไปแล้ว (ผู้รับเหมาคงไม่ยอม)
      งั้นคงต้องเอาแบบ ต า ม มี ต า ม เ กิ ด (ก็ได้)  โดยถ้าหยุดโครงการที่สร้างไปแล้วไม่ได้เลย
      งั้นก็เอาเฉพาะว่า ต่อไปนี้จะยัง ไ ม่ อ นุ มั ติ  โ ค ร ง ก า ร ใ ห ม่  (ทั้งหมด) ที่เกี่ยวกับการ ตัดถนน ทางด่วน ทางพิเศษ (เพิ่ม) และ ทางข้าม ทางลอดสี่แยก (เพิ่ม) สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา (เพิ่ม) เป็นต้น โดยเด็ดขาด
      เพื่อสงวนเงิน (งบประมาณใหม่) นี้ เอาไว้ให้เฉพาะสำหรับรถเมล์ (แท้ๆ ล้วนๆ เท่านั้น)
      ดังนั้น งบประมาณใหม่ของรถเมล์นี้ ถึงจะช้าไปสักหน่อย (ช้าแต่ชัวร์ (ดีกว่าไม่ได้)
      หมายเหตุ  ส่วนรถไฟฟ้าไม่ควรหยุด หรือ ชลอการก่อสร้าง และ ควรเร่งๆๆ เพิ่มๆๆ ยิ่งมากยิ่งดี (แต่ถ้าเร่งมากเกิน คลังอาจกระเป๋าฉีกได้) เพราะรถไฟฟ้า เป็นการขนส่งมวลชน เช่นเดียวกับรถเมล์ (แต่เสียตรง แพงกว่ารถเมล์หลายร้อยเท่า)
       หมายเหตุ  แต่ห้ามเอาเงินที่จะให้รถเมล์ไปใช้กับรถไฟฟ้า เพราะรถเมล์ใช้เงินน้อยอยู่แล้ว (เอาเนื้อหนู ไปปะเนื้อช้างไม่ได้) หนูจะตายหมดเสียก่อน ที่จะปะเนื้อช้างได้เต็ม
       
       สรุป
       ถ้านำเงิน ห มื่ น ล้ า น  ไปปรับปรุงรถเมล์ จะแก้ปัญหารถได้ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดภายในเวลา 1 ปี (เพราะรถเมล์ใช้เงินน้อยมากๆ)
       ถ้านำเงิน ห มื่ น ล้ า น  ไปปรับปรุงรถเก๋ง เช่น ตัดถนนเพิ่ม สร้างทางด่วนเพิ่มสร้างทางพิเศษเพิ่ม หรือ สร้างทางข้าม และ ลอด (สี่แยก) เพิ่ม สร้างแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่ม เป็นต้น จะทำให้ปัญหารถติดเพิ่มมากขึ้น (เหมือนในปัจจุบัน) เพราะรถเก๋ง เปรียบเหมือนโจร (ในแง่จราจร) ดังนั้นจึงเหมือนเอาเงินไปให้โจร
       ถ้านำเงิน ห มื่ น ล้ า น ไปสร้างรถไฟฟ้า จะได้รถไฟฟ้ามาไม่กี่สายเท่านั้น จะช่วยบรรเทาปัญหารถติดได้เล็กน้อยเท่านั้น เพราะรถไฟฟ้าใช้เงินมากๆๆๆ (ใช้เงินมากกว่ารถเมล์หลายร้อยเท่า)
       แต่ถ้ายังปล่อยให้รถเมล์วิ่งปะปนกับรถเก๋ง เหมือนในปัจจุบัน  ถึงจะได้เงิน หมื่นล้าน หรือ แสนล้าน หรือ ล้านล้าน (บาท) มาใช้ปรับปรุงรถเมล์ ซื้อรถเมล์ใหม่ ปรับปรุงป้ายรถเมล์ ทั้งหมด เงิน นี้จะหมดความหมาย ในทันที 
       เพราะถ้ารถเมล์วิ่งช้าเหมือนในปัจจุบัน จะแก้ปัญหารถติดไม่ได้เลย
       แต่ ถึงจะไม่ได้เงิน (หมื่น หรือ แสนล้าน) เลย แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้วิธีในวีดีโอ นี้ (ซึ่งใช้เงินเพียงประมาณ 100 ล้าน เท่านั้น) ก็จะทำให้รถเมล์วิ่งเร็วขึ้นประมาณ 3 เท่า ก็จะทำให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์มากๆๆๆ ได้เช่นกัน (แก้ปัญหารถติดได้เช่นกัน)
      
       สรุป ความเร็ว ของรถเมล์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด (รถเมล์จะต้องวิ่งเร็วกว่ารถเก๋งมากๆๆ) จึงจะสามารถแก้ปัญหารถติดได้ แต่ถ้าได้เงิน (หมื่น หรือ แสนล้าน) มาใช้กับรถเมล์ด้วย จะยิ่งทำให้รถเมล์น่าใช้มากขึ้น และ แก้ปัญหารถติดเร็วมากขึ้นอีก
       
       ดังนั้น จึงควรหยุดใช้เงินเพื่อปรนเปรอรถเก๋งทันที เพราะ จะยิ่งทำให้รถติดมากขึ้นเรื่อยๆ
       
                        รถเมล์ x 3 (ตามวิธีในวีดีโอ ข้างล่างนี้) คืออะไร ? ? ?
       
       รถเมล์วิ่งเร็วขึ้นประมาณ 3 เท่า (จากประมาณ 8 กม. / ชม. / ในเวลาเร่งด่วน   เป็น 24 กม. / ชม. / ในเวลาเร่งด่วน) เพราะ วิ่งในช่องบัสเลน และ ติดไฟแดงน้อยลง (ประมาณ 1.24 นาที เท่านั้น)
       รถเมล์รับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 3 เท่า เพราะปรกติ (ปัจจุบัน) รถเมล์เคยวิ่ง 1 รอบ ใช้เวลา 60 นาที จะลดลงเหลือ 20 นาที / 1 รอบ เท่านั้น (ในเวลาเร่งด่วน)
       ใช้เวลารอรถเมล์ (ที่ป้ายรถเมล์) นานน้อยลง 3 เท่า เพราะเมื่อรถเมล์ วิ่งเร็วขึ้น 3 เท่า (มาถี่ขึ้น 3 เท่า) ทำให้เวลาในการยืนหรือนั่งรอรถเมล์ น้อยลง 3 เท่า
       ทำให้อากาศร้อนอบอ้าว (ในรถเมล์ร้อน) ลดลง เพราะรถเมล์วิ่งเร็วขึ้นมากๆ และ เวลาที่รถเมล์จอดติดไฟแดงลดลง เช่น จากที่ปัจจุบันเคยติดไฟแดงประมาณ 3 - 30 นาที / 1 สี่แยก เหลือประมาณ 1.24 นาที / 1 สี่แยก เท่านั้น
       จึงทำให้เวลาเฉลี่ย ในการเดินทางทั้งหมดลดลงไปด้วย
       จะทำให้เก็บเงินได้มากขึ้นประมาณ 3 เท่า (ในเวลาเร่งด่วน) และ ทำให้รถเมล์มีกำไรได้ เพราะใช้จำนวนรถเมล์เท่าเดิม คนขับและกระเป๋า เท่าเดิม แต่รับคนได้เพิ่มมากขึ้น 3 เท่า ได้เงินเพิ่มขึ้น 3 เท่า (ถึงจะใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 2 เท่าก็ตาม)
       

หมายเหตุ สาเหตุที่ใช้น้ำมัน เพิ่มขึ้น (เพียง) ประมาณ 2 เท่า ไม่ใช่ 3 เท่า เพราะเวลารอไฟแดงลดลง และรถเมล์วิ่งเร็วขึ้น จึงทำให้ใช้น้ำมันลดลง จากที่ควรเป็น 3 เท่า เหลือ 2 เท่า(โดยประมาณ) 
       ดังนั้น จึงทำให้รถเมล์ (ขสมก. และ เอกชน) จากที่เคยขาดทุนมากๆๆ กลับมากำไรมากๆๆ ได้ จึงสามารถนำเงินกำไรนี้ ไปปรับปรุง คุณภาพ และ บริการ รถเมล์ให้ดีขึ้นอีกมากมาย
       
       วงจรบุบาทว์ (รถเมล์เอกชนห่วย ซิ่ง แซง เบียด ด่า) 
       
       ที่แก้ไม่ได้มานานหลายสิบปี  เกิดจาก "เงิน" ตัวเดียวเท่านั้น โดย
       เมื่อ ขสมก. ขาดทุน มากๆ  รัฐจึงเปิดสัมปทาน (โยนบาป) ไปให้ให้บริษัทเอกชน ประมูลเส้นทางรถเมล์ (ที่มีกำไรน้อยมากๆๆ) 
       จากนั้น บริษัทเอกชนนี้  จึงโยนบาป ไปให้ให้คนขับ และ กระเป๋ารถเมล์ โดยการใช้วิธีหักเปอร์เซ็นต์ตั๋ว ที่เก็บได้ (ถ้าเก็บตั๋วโดยสารได้น้อยก็จะได้เงินน้อย ถ้าเก็บตั๋วได้มากก็จะได้เงินมากขึ้น) 

       จากนั้น คนขับ และ กระเป๋า จึง โยนบาป ไปให้ให้ผู้โดยสาร และ รถในถนน โดยการ ซิ่ง แซง เบียด เพื่อแย่งผู้โดยสาร กับรถเมล์เอกชนด้วยกัน และ กับรถเมล์ของ ขสมก. ด้วย (แต่ก็ยังได้เงินน้อยอยู่ดี) จึงเป็นเหตุให้โชว์เฟอร์ และ กระเป๋า ของรถเมล์เอกชน "เครียด" และ เบื่อหน่าย (ไม่พอใจในอาชีพของเขา) แสดงให้เห็นโดยการพูดจาไม่เพาะกับผู้โดยสาร หรือ ทะเลาะกับผู้โดยสาร หรือ จะเฉี่ยว จะชน กับใครเขาก็ไม่แคร์ เป็นต้น 

        

       ดังนั้น จึงเชื่อว่า จะทำให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ เพิ่มมากขึ้น มากๆๆๆ และ

ทำให้ท้ายแถวรถติดหดสั้นลงมากๆๆๆ ทำให้ปัญหาจราจรลดน้อยลงมากๆๆ ได้ตามต้องการ

      เพราะใช้ความเร็วที่มากขึ้น และ บริการที่ดีขึ้น ของรถเมล์นี้ แลกเปลี่ยนกับ ความเป็นส่วน

ตัว ความสะดวกสบาย และ ..... ฯลฯ ในรถเก๋งได้ 

        โดยใช้หลักการ (คำขวัญ) ว่า ถ้าไม่รีบ ให้ใช้รถเก๋ง ต่อไป แต่ถ้ารีบให้เปลี่ยนมา

ใช้รถเมล์

       ดูวิธี รถเมล์ x 3  (ในวีดีโอ ข้างล่างนี้) หรือดูข้อมูลเพิ่ม โดยเข้าเว็บพันทิป พิมพ์ "รู้ไว้ใช่

ว่า" เลือกหัวข้อที่เกี่ยวกับจราจร หรือ รถเมล์ หรือ รถติด เป็นต้น

      

<p> 

 

 

         และเมื่อผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์มากๆๆๆ รถเก๋งก็จะหายไปจากถนน

มากๆๆๆ เช่นกัน จึงทำให้ท้ายแถวรถติดหดสั้นลงมากๆๆๆ เช่นกัน จึงทำให้ทั้ง

รถเก๋ง และ รถเมล์ ใช้เวลาติดไฟแดงน้อยลงได้ตามต้องการ

       

        แต่รถเมล์จะต้องได้สิทธิพิเศษมากกว่ารถเก๋ง (มากๆ) เพราะ

                           รถเมล์ใช้ผิวจราจร น้อยกว่ารถเก๋ง มากกว่า 10 เท่า

       รถเมล์ยาว 12 ม. ขนคนได้ 70 คน / 1 คัน

       รถเก๋งยาว 4.5 ม. ขนคนได้ 2 คน / 1 คัน 

       ดังนั้น ถ้าจะใช้รถเก๋งขนคน 70 คน จะต้องใช้รถเก๋งประมาณ 35 คัน

       ดังนั้น เมื่อนำ รถเก๋ง 35 คัน มาจอดในถนนจะ = 35 x 4.5 = 157 ม.

และบวกช่วงไฟอีกประมาณ 34 ม. = 191 ม.

 

สรุป

คน 70 คน ถ้าใช้รถเมล์ จะใช้ผิวจราจร 12 ม.

คน 70 คน ถ้าใช้รถเก๋ง จะใช้ผิวจราจร 191 ม.

 

หรือ

คน 1 คน ถ้าใช้รถเมล์ จะใช้ผิวจราจร = 12 หาร 70  = 1 7 ซ . ม .  /  ค น

คน 1 คน ถ้าใช้รถเก๋ง จะใช้ผิวจราจร = 191 หาร 70 = 2 7 0 ซ . ม .  /  ค น

 

              รถเมล์สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากกว่ารถเก๋ง มากกว่า 10 เท่า

       รถเมล์ 1 คัน ใช้เวลาปล่อยผ่านสี่แยกประมาณ 6 วิ / 1 คัน ขนคนได้ 70 คน

       รถเก๋ง 1 คัน ใช้เวลาปล่อยผ่านสี่แยกประมาณ 2 วิ / 1 คัน ขนคนได้ 2 คน

       ดังนั้น ถ้าจะใช้รถเก๋งขนคน 70 คน ปล่อยผ่านสี่แยก จะต้องใช้รถเก๋งถึง 35 คัน

       ดังนั้น ถ้าจะใช้รถเก๋ง 35 คัน ปล่อยผ่านสี่แยก จะต้องใช้เวลาประมาณ =

35  x 2 = 70 วินาที

สรุป

คน 70 คน ถ้าใช้รถเมล์ จะใช้เวลาประมาณ 6 วินาที ปล่อยผ่านสี่แยก

คน 70 คน ถ้าใช้รถเก๋ง จะใช้เวลาประมาณ 70 วินาที ปล่อยผ่านสี่แยก

 

       ดังนั้น ถ้าต้องการแก้ปัญหาจราจร จะต้องเน้นการปล่อยรถเมล์ให้มาก

กว่ารถเก๋ง เพื่อทำให้สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากขึ้น และ เร็วขึ้น เช่น

       ในเวลา 1 นาที ถ้าปล่อยรถเก๋ง ผ่านสี่แยกได้ประมาณ 30 คัน / 1 เลน 

หลงดีใจ (แ บ บ โ ง่ ๆ) ว่าสามารถระบายรถได้คล่องตัวดีมากๆ  แต่ใน

ความเป็นจริง สามารถปล่อยคนผ่านสี่แยกได้เพียง 60 คน เท่านั้น

       ในเวลา 1 นาที ถ้าปล่อยรถเมล์ ได้เพียง 6 คัน / 1 เลน อาจจะดูว่า

น้อย แต่ในความเป็นจริงรถเมล์ 6 คันนี้ สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มาก

ถึง 420 คน (รถเมล์ 1 คัน ขนคนได้ 70 คน)

       ดังนั้น ไม่ว่าจะพยายามปล่อยรถเก๋งผ่านสี่แยกสักเท่าไหร่ ก็ไม่เกิน

60 คน / 1 เลน / 1 นาที

       แต่การปล่อยรถเมล์เพียง 6 คัน / 1 เลน / 1 นาที จะสามารถขนคน

ผ่านสี่แยกได้มากถึง 420 คน / 1 เลน / 1 นาที

 

       ดังนั้น ถ้าต้องการแก้ปัญหาจราจร จะต้องใช้วิธี รถเมล์ x 3

(ตามวิธีใน วีดีโอ นี้) เพื่อเพิ่มสัดส่วนการปล่อยรถเมล์ออกจากสี่แยก

ให้มากขึ้น

       

       รถเก๋ง เปรียบเหมือน โจร หรือ คนเลว (ในแง่จราจร) ที่จะต้องกำ

จัดให้หมด หรือ ให้เหลือน้อยลงให้ได้

       รถเมล์ เปรียบเหมือน ตำรวจ หรือ คนดี (ในแง่จราจร) ที่จะต้อง

พัฒนา และ ส่งเสริมสนับสนุน ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

       

       แต่ในปัจจุบันรัฐ กลับทำในทิศทางตรงข้าม

       โดยพยายามสร้างทางด่วน ทางพิเศษ ขยายถนน ตัดถนนใหม่

สร้างอุโมงค์ลอดสี่แยก สร้างถนนข้ามสี่แยก สร้างสะพานข้ามแม่นำ้

เจ้าพระยาเพิ่ม เป็นต้น แล้วบอก (แบบโง่ๆ) ว่า ทั้งหมดนี้ เพื่อแก้

ปัญหารถติด

       ถ้าคิดแบบง่ายๆ สั้นๆ (โง่ๆๆ) คงจะนึกว่า รัฐทำถูกต้องแล้ว (มา

ถูกทางแล้ว)

 

       แต่ทำไมมันยังไม่สามารถแก้ปัญหารถติดได้อีกหล่ะ ? ? ?

 

       คำตอบ คือ รัฐทำผิด (มาผิดทาง) เพราะแทนที่จะแก้ปัญหารถติด

กลับเป็นการ ยิ่งเพิ่มปัญหารถติดมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการสร้างทางด่วน

ทางพิเศษ การขยายถนน ตัดถนนเพิ่ม สร้างอุโมงค์ลอดสี่แยก  สร้างสะ

พานข้ามสี่แยก สะพานข้ามแม่นำ้เจ้าพระยาเพิ่ม เป็นต้น

       ทั้งหมดนี้ คือ การส่งปืนส่งระเบิด (เงิน) ให้โจร หรือ คนชั่ว (รถเก๋ง)

 

       งั้นจะแก้ปัญหาจราจรอย่างไรหล่ะ ? ? ?

 

       คำตอบ คือ หยุดส่งปืน ส่งระเบิด (เงิน) ให้โจร หรือ คนชั่ว (รถเก๋ง)

แล้วเปลี่ยนมาส่งปืนส่งระเบิด (เงิน) ให้ตำรวจ หรือ คนดี (รถเมล์) แทน

    

       ดังนั้นการหยุดส่งปืนส่งระเบิด (เงิน) ให้โจร หรือ คนชั่ว (รถเก๋ง) คือ การ

หยุดส่งเสริมโจร หรือ คนชั่ว (ในแง่จราจร) ให้ทำชั่วน้อยลง (หรือ ทำชั่วไม่

สำเร็จ)

 

     การหวังว่า การสร้างถนน ทางด่วน ทางพิเศษเพิ่ม สร้างอุโมงค์ลอดสี่แยก

และ สะพานข้ามสี่แยกเพิ่ม สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่ม เป็นต้น จะช่วย

ให้รถเก๋งวิ่งเร็วขึ้น จึงเป็นความคิดแบบตื้นๆ

       

       แต่ในความเป็นจริง กลับได้ผลตรงกันข้าม

       เพราะ      ได้ ไม่ เท่า เสีย

  

       อะไร คือ ได้ ไม่ เท่า เสีย ? ? ?

       ได้   สิ่งที่ได้จากการสร้างสิ่งเหล่านี่ คือ มีทางด่วน ทางพิเศษเพิ่มขึ้น และ

ถนนกว้างใหญ่ขึ้น (บางถนน) รถวิ่งผ่านสี่แยกโดยไม่ติดไฟแดง (บางสี่แยก) และ

ลดความแออัดในสะพานข้ามแม่นำ้เจ้าพระยาข้างเคียง เป็นต้น

 

       เสีย สิ่งที่เสียจากการก่อสร้างสร้างสิ่งเหล่านี้ คือ มีผู้ใช้รถเมล์ต้องเปลี่ยน

มาใช้รถเก๋งเพิ่มมากขึ้นมากๆๆๆ (มากกว่าสิ่งที่ได้จากการก่อสร้าง) เพราะรัฐไม่

ให้เงิน มาปรับปรุง (ทั้งคุณภาพ และ บริการรถเมล์) ผู้ใช้รถเมล์ จึงทนใช้รถเมล์

ต่อไปไม่ไหว  เพราะรถเมล์ ทั้งวิ่งช้ากว่ารถเก๋งมากๆ ทั้งลำบาก ทั้งไม่เป็นส่วน

ตัว และ ...ฯลฯ

       สรุป เมื่อตำรวจ (รถเมล์) เห็นว่า รัฐให้เงินโจร (รถเก๋ง) มากๆ ดังนั้น ตำรวจ

(รถเก๋ง) ก็ขอเลิกเป็น ตำรวจ (รถเมล์) แล้ว เปลี่ยนไปเป็นโจร (รถเก๋ง) เพิ่มมาก

ขึ้น เรื่อยๆ เพราะรัฐให้เงินแต่โจร (รถเก๋ง) แต่ไม่ให้ตำรวจ (รถเมล์)

 

 

       ดังนั้น จึงเรียกว่า  ได้ไม่เท่าเสีย หรือ ได้น้อยกว่าเสีย นั้นเอง

       

       แต่ ถ้าต้องการให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ให้ ได้มากกว่าเสีย ได้ไหม ? ? ?

 

       ตอบ ได้ซิ แต่ต้องเพิ่มเงินในการก่อสร้างให้มากกว่าในปัจจุบัน อีก 3 เท่า

 หรือ อีก 5 เท่า หรือ อีก 10 เท่า หรืออีก 50 เท่า (กี่เท่าหว่า ? ? ?)

       หมายเหตุ

       จะต้องเพิ่มอีก กี่เท่า ผมก็ไม่ทราบ เหมือนกัน ? ? ? (กะไม่ถูก)

คำถามต่อมา คือ

       ถึงจะกะถูก แล้วจะมีเงินมากขนาดนั้น ไหม ? ? ?

       แล้วถ้าใช้เงินมากขนาดนั้น ประเทศจะล่มจม (เงินหมดคลัง)

ก่อนที่จะแก้ปัญหารถติด  หรือไม่ ? ? ?

 

     ดังนั้น ถ้าต้องการแก้รถติด แต่ไม่ต้องการเพิ่มเงินเลย ทำได้โดย  

 

       นำเงิน ที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด (ที่เคยให้รถเก๋ง)  เปลี่ยนด้าน

360 องศา ไปให้รถเมล์ทั้งหมดแทน (จบ)

     

       เช่น ใช้ซ่อมบำรุงรถเมล์เก่า ใช้ซื้อรถเมล์ใหม่ เพิ่มประมาณ 1000 หรือ

10000 คัน (หรือมากกว่านั้นยิ่งดี) ใช้ปรับปรุงป้ายรถเมล์ให้บังแดด บังฝนให้

ดีขึ้น  สร้างป้ายรถเมล์ ให้เว้า (หลบ) เข้าไปในฟุตบาท (กว้าง 1 เลน ยาว 50

- 100 ม.) เพื่อใช้จอดรับส่งผู้โดยสาร  โดยไม่ขวางในช่องบัสเลน (คล้ายจุด

พักรถบรรทุกในถนนหลวง)

       อาจ ยกเลิกสัมปทานรถเมล์เอกชนทั้งหมด หรือ บังคับให้รถเมล์เอกชน

ปรับปรุงคุณภาพ และ บริการให้เท่ากับ ขสมก. เป็นต้น

 

       สรุป ดังนั้น  ถ้าทำตามนี้ จะสามารถแก้รถติดได้ (โดยอาจจะใช้ หรือ ไม่ใช้

เงินหมื่นล้าน ก็ได้) และ สามารถแก้รถติดได้ภายใน 1 ปี

 

       หมายเหตุ คำว่า "โดยอาจไม่ต้องใช้เงินหมื่นล้าน"  ในที่นี้ หมายถึงใช้เงิน

เพียงประมาณ 100 ล้านบาท เท่านั้น (ไม่ต้องใช้เงิน หมื่นล้าน หรือ แสนล้านบาท)

       

       เพื่อให้ผู้ใช้รถเมล์เปลี่ยนมาใช้รถเก๋งลดลง หรือ ไม่มีเลย 

       เพื่อให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์มากๆๆๆ

       

       โดยทำตามวิธีในวีดีโอ (ข้างบนนี้) ซึ่งเป็น วิธีที่ทำให้รถเมล์วิ่งเร็วกว่ารถ

เก๋งมากๆ เพราะ วิธีในวีดีโอนี้ เป็นวิธีที่ให้สิทธิพิเศษแก่รถเมล์ หลายอย่าง

        เช่น

ช่องบัสเลนเพิ่ม

แบ่งถนนออกเป็น ช่องสำหรับรถเก๋ง

ช่องสำหรับรถเมล์

ช่องสลับ

ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร หน้าช่องสำหรับรถเก๋ง (เพิ่ม)

ติดตั้งสัญญาณไฟจราจร หน้าช่องสำหรับรถเมล์ (เพิ่ม)

ดังได้กล่าวไปแล้ว ในวีดีโอ (ทั้งหมดนี้ใช้เงินไม่เกิน 100 ล้านบาท)

       

       จึงทำให้รถเมล์วิ่งเร็วขึ้นประมาณ 3 เท่า และ ทำให้รถเมล์วิ่งเร็วกว่ารถ

เก๋งมากๆ และ ทำให้ผู้ใช้รถเก๋งเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ได้มากขึ้น (มากๆๆๆ)

       จึงทำให้รถเก๋งลดลงมากๆๆๆ จึงทำให้ท้ายแถวรถติดหดสั้นลง (มากๆๆๆ)

       จึงสามารถแก้ปัญหาจราจรได้ตามต้องการ

 

       รัฐต้อง   หยุดบ้า   หยุดโง่    เลิกติดยึด  

       กับการที่จะต้องระบายรถ (เก๋ง) ในถนนให้เร็วที่สุด เพราะนั้นจะเป็น

การตกลงไปในวงจรอุบาทว์  ยิ่งแก้   ยิ่งแย่   เพราะ มันคือการส่งเสริมคนชั่ว

(รถเก๋ง) ให้ทำความชั่ว (ก่อปัญหารถติด) มากขึ้น และ เป็นการส่งเสริมให้มี

คนชั่ว (รถเก๋ง) เพิ่มจำนวนมากขึ้น อย่างรวดเร็ว และ มีจำนวนตำรวจ (รถเมล์)

ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

       ดังนั้น ทางแก้ คือ รัฐต้องให้ความสำคัญในการระบายรถเมล์ออกจากสี่แยก

มากกว่าระบายรถเก๋ง         โดยใช้วิธี ตามใน วีดีโอ  ข้างบนนี้

 

       ผู้ใช้รถเก๋ง จะต้องยอมเสียสละ กินยาขม 

       เพราะ ผู้ใช้รถเก๋ง ใช้ผิวจราจรมากกว่า ผู้ใช้รถเมล์  (มากกว่า 10 เท่า)

ผู้ใช้รถเก๋ง ใช้เวลาในการระบายออกจากสี่แยกมากกว่าผู้ใช้รถเมล์ (มากกว่า 10 เท่า)

       ดังนั้น  ผู้ใช้รถเก๋งจึงเป็นผู้ก่อปัญหารถติด   

       ดังนั้น ผู้ใช้รถเก๋งจึงต้อง ยอมเสีสละ  โดยไม่ต่อต้านการให้เงิน (งบประมาณ)

เพื่อใช้ปรับปรุง ทั้งคุณภาพ และ บริการ รถเมล์ (ทั้งหมด) และ ไม่ต่อต้านการใช้วิธี

ตามใน  วีดีโอ นี้

       โดยในช่วงแรกๆ ของการใช้วิธีในวีดีโอ นี้ ผู้ใช้รถเก๋ง (บางจุด) จะต้องรับผล

กระทบ (ติดไฟแดงนานขึ้น) แต่เมื่อใช้วิธีในวีดีโอไปนานๆ (ไม่เกิน 1 ปี) จะทำให้

ผู้ใช้รถเก๋งติดไฟแดงนานน้อยกว่าในปัจจุบัน (อย่างแน่นอน)

       เพราะเมื่อ ผู้ใช้รถเก๋ง เปลี่ยนมาใช้รถเมล์มากๆๆๆๆ ท้ายแถวรถติดก็จะหดสั้นลง

ตามไปด้วย (ไม่เกิน 1 ปี) ปัญหารถติดก็จะหดหายได้ ในที่สุด

 

                       ถ้าวันนี้รักแต่จะสบาย        วันหน้าจะต้องลำบาก

                       แต่ถ้าวันนี้ยอมลำบาก        วันหน้าจึงจะได้สบาย

                                       (ถึงผู้ใช้รถเก๋ง และ รัฐ)

       

       ประโยชน์ของรถเมล์ x 3 (อีกข้อ)

       ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ (รถดับเพลิง) หรือ รถพยาบาล หรือ คนป่วย (ในรถ

เก๋ง) หรือ คนจะคลอดลูก ก็สามารถวิ่งเข้ามาใช้ช่องบัสเลนนี้ได้ทันที แต่ห้ามคนใหญ่

คนโตเข้ามาใช้ช่องบัสเลนนี้เด็ดขาด (ยกเว้นกรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น) เพราะคนใหญ่

คนโตในบ้านนี้ เมืองนี้มีมากมายเหลือเกิน

 

 
 
 
 
เมื่อวันที่ 16 / 7 / 59
 
ผมตั้งกระทู้เรื่อง ร ถ เ ม ล์ แ ก้ ร ถ ติ ด   2 (ในพันทิป)
 
หมายเหตุ ถ้าต้องการดู รถเมล์แก้รถติด 2 ให้เข้าเว็บพันทิป คลิก "รู้ไว้ใช่ว่า" 
 
แล้วเลือกคลิก "รถเมล์แก้รถติด 2"
 
ในความคิดเห็นที่ 10 สมาชิกหมายเลข 7 1 0 5 5 1 
 
เขียนมา 4 ข้อๆ ละ 1 บรรทัด ดังนี้ 
 
 
1. เริ่มง่ายๆ ทำบัสเลนทุกเส้น รถเมล์ ไม่ต้องติดไฟแดง มาเมื่อไหร่ เปลี่ยนเป็นไฟเขียวทันที
 
2. ใครฝ่าฝืนวิ่งบัสเลน ปรับให้หนัก ลงเฟสประจาน
 
3. พอทำแบบนี้รถส่วนตัวจะติดหนัก และไปได้ช้ากว่ารถเมล์ รถเมล์วิ่งฉิว รถส่วนตัวติดแหง็ก ไม่นานคนจะกลับมาใช้รถเมลล์แทน
 
4. ถ้ารถเมล์ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง แต่รถส่วนตัว ชั่วโมงครึ่ง คุณจะไปทางไหน
   
 
ซึ่งตรงใจผมมาก ๆ ทุก ๆ ข้อเลยครับ โดยเฉพาะ ข้อ 1
แต่ข้อ 1 ท่านเขียนมาบรรทัดเดียว
ดังนั้น ผมจึง ขออนุญาติ ท่านสมาชิกหมายเลข  710551 ในการ ขยายความ
(ไม่แน่ใจว่าจะถูก หรือ ผิดประการใด) ดังต่อไปนี้
 
 
ท่านว่า  
1. เริ่มง่ายๆ ทำบัสเลนทุกเส้น รถเมล์ ไม่ต้องติดไฟแดง มาเมื่อไหร่ เปลี่ยนเป็นไฟเขียวทันที
 
ผมว่า 
เป็นความคิดที่ดีมากๆครับ น่าทดลองดู (ในจินตนาการของผม)
ดังต่อไปนี้ 
 
แยกที่ 1 มีรถเมล์มาถึงสี่แยก 1 คัน จอดรอไฟแดง เจ้าหน้าที่ปล่อย (เปลี่ยนเป็นเขียวในแยกที่ 1)
รถเมล์ในแยกที่ 1 วิ่งออกไป (ใช้เวลาประมาณ 6 - 8 วินาที) และในเวลาเดียวกันนี้ รถเก๋งในแยกที่ 1 ก็วิ่งออกไปด้วย
จากนั้น จะปล่อยในแยกที่ 1 ประมาณ 1 นาทีเมื่อครบแล้วจึงค่อยปล่อยรถเก๋งในแยกที่ 2
แต่ถ้าในแยกที่ 1 นี้ ปล่อยไป 20 วิ ในแยกที่ 3 มีรถเมล์ในช่องบัสเลนจอดอยู่ 2 คัน
 
แยกที่ 3 มีรถเมล์มาถึงสี่แยก 2 คัน จอดรอไฟแดง เจ้าหน้าที่ปล่อย (เปลี่ยนเป็นเขียวในแยกที่ 3)
รถเมล์ในแยกที่ 3 วิ่งออกไป (ใช้เวลาประมาณ 12 - 16 วินาที) และในเวลาเดียวกันนี้ รถเก๋งในแยกที่ 3 ก็วิ่งออกไปด้วย
จากนั้น จะปล่อยในแยกที่ 3 ประมาณ 1 นาทีเมื่อครบแล้วจึงค่อยย้อนมาปล่อยรถเก๋งในแยกที่ 1 อีกครั้ง ประมาณ 40 วินาที
เพราะในแยกที่ 1 เพิ่งปล่อยไปได้ 20 วิ จึงย้อนมาปล่อยในแยกที่ 1 อีกครั้งประมาณ 40 วิ
แต่ถ้าในแยกที่ 1 นี้ ปล่อยไป 10 วิ ในแยกที่ 4 มีรถเมล์ในช่องบัสเลนจอดอยู่ 3 คัน
 
สรุป ในแยกที่ 3 ปล่อยรถเก๋งไปครบแล้ว (1 นาที) 
      ในแยกที่ 1 ปล่อยรถเก๋ง 20 วิ  และ 10 วิ
 
แยกที่ 4 มีรถเมล์มาถึงสี่แยก 3 คัน จอดรอไฟแดง เจ้าหน้าที่ปล่อย (เปลี่ยนเป็นเขียวในแยกที่ 4)
รถเมล์ในแยกที่ 4 วิ่งออกไป (ใช้เวลาประมาณ 18 - 24 วินาที) และในเวลาเดียวกันนี้ รถเก๋งในแยกที่ 4 ก็วิ่งออกไปด้วย
จากนั้น จะปล่อยในแยกที่ 4 ประมาณ 1 นาทีเมื่อครบแล้วจึงค่อยปล่อยรถเก๋งในแยกที่ 1 อีกครั้ง ประมาณ 30 วิ
เพราะในแยกที่ 1 เพิ่งปล่อยไปได้ 20 + 10 วิ จึงย้อนมาปล่อยในแยกที่ 1 อีกครั้งประมาณ 30 วิ
แต่ถ้าในแยกที่ 1 นี้ ปล่อยไป 20 วิ ในแยกที่ 2 มีรถเมล์ในช่องบัสเลนจอดอยู่ 1 คัน
 
แยกที่ 2 มีรถเมล์มาถึงสี่แยก 1 คัน จอดรอไฟแดง เจ้าหน้าที่ปล่อย (เปลี่ยนเป็นเขียวในแยกที่ 2)
รถเมล์ในแยกที่ 2 วิ่งออกไป (ใช้เวลาประมาณ 6 - 8 วินาที) และในเวลาเดียวกันนี้ รถเก๋งในแยกที่ 2 ก็วิ่งออกไปด้วย
จากนั้น จะปล่อยในแยกที่ 2 ประมาณ 1 นาทีเมื่อครบแล้วจึงค่อยย้อนมาปล่อยรถเก๋งในแยกที่ 1 อีกครั้ง ประมาณ 30 วินาที
เพราะในแยกที่ 1 เพิ่งปล่อยไปได้ 20 + 10 วิ จึงย้อนมาปล่อยในแยกที่ 1 อีกครั้งประมาณ 30 วิ
แต่ถ้าในแยกที่ 1 นี้ ปล่อยไป 20 วิ ในแยกที่ 3 มีรถเมล์ในช่องบัสเลนจอดอยู่ 1 คัน
 
สรุป ในแยกที่ 3 และ 4 และ 2 ปล่อยรถเก๋งไปครบแล้ว (1 นาที) 
      ในแยกที่ 1 ปล่อยรถเก๋ง 20 + 10 + 20 วิ
 
แยกที่ 3 มีรถเมล์มาถึงสี่แยก 1 คัน จอดรอไฟแดง เจ้าหน้าที่ปล่อย (เปลี่ยนเป็นเขียวในแยกที่ 3)
รถเมล์ในแยกที่ 3 วิ่งออกไป (ใช้เวลาประมาณ 6 - 8 วินาที) และในเวลาเดียวกันนี้ รถเก๋งในแยกที่ 3 ก็วิ่งออกไปด้วย
จากนั้น จะปล่อยในแยกที่ 3 ประมาณ 6วิ เมื่อครบแล้วจึงค่อยย้อนมาปล่อยรถเก๋งในแยกที่ 1 อีกครั้ง ประมาณ 10 วินาที
เพราะในแยกที่ 1 เพิ่งปล่อยไปได้ 20 + 10 + 20 วิ จึงย้อนมาปล่อยในแยกที่ 1 อีกครั้งประมาณ 10 วิ
 
สรุป 
จากตัวอย่างที่ผมสมมุติ
ในแยกที่ 1 มีการปล่อยแบบกระปิด กระปอย 20 + 10 + 20 + 10 (วิ)
ส่วนในแยกที่ 2 และ 3 และ 4 ผมสมมุติให้ ปล่อยครบ 1 นาทีทั้ง 3 แยก
 
แต่ในความเป็นจริง 
ในแยกที่ 2 และ 3 และ 4 ก็น่าจะมีการปล่อยประปิดกระปอย เหมือน หรือ คล้ายในแยกที่ 1 นี้ เช่นกัน
 
เพราะรถเมล์วิ่งไปมา  แบบไม่เป็นระเบียบ 
จึงกำหนดไม่ได้ว่า  รถเมล์จะมาเมื่อไหร่ ? 
หรืออีกกี่วินาที  รถเมล์จะมา 1 คัน ?
หรือรถเมล์คันต่อไป  จะมาในแยกไหนก่อน ?
 
ดังนั้น ถ้าใช้จังหวะที่รถเมล์มาถึง แล้วขึ้นไฟเขียวในแยกนั้นๆ ทันที
รถเมล์จะติดไฟแดงน้อยมากๆๆ เช่น อาจจะติดไฟแดงประมาณ 5 หรือ 10 หรือ 15 วินาที / 1 สี่แยก
 
หมายเหตุ
 
ไม่จำเป็นว่าจะต้องปล่อยรถเมล์ทันทีที่รถเมล์มาจอดรอไฟแดง
อาจจะให้รถเมล์ รอไฟแดงประมาณ 5 - 10 วินาที ก็ได้
 
แต่รถเก๋ง (ในทุกๆ แยก) จะต้องปล่อยแบบกระปิด กระปอย (ประมาณปล่อย 10 - 30 วิ 
/ ครั้ง ในทุกๆแยก)  
 
หมายเหตุ
 
การปล่อยรถเก๋งแบบกระปิดกระปอย จะระบายรถเก๋งได้น้อย กว่าการปล่อยแบบยาวๆ 
เพราะรถจะออกตัวช้า ใช้ความเร็วต่ำๆ ผ่านสี่แยก
 
สรุป  ทุ ก วิ ธี    จ ะ มี ทั้ ง ข้ อ ดี    แ ล ะ     ข้ อ เ สี ย
วิธีของสมาชิกหมายเลข 710551  รถเมล์จะติดไฟแดงน้อยมากๆ 
(ประมาณ 5 - 10 วิ) เท่านั้น
 
ส่วนวิธีในวีดีโอ ในกระทู้ รถเมล์แก้รถติด 2 รถเมล์จะติดไฟแดงประมาณ
1.30 นาที และปล่อยรถเก๋งประมาณ 1 นาที
 
แต่ถ้าถามว่าวิธีไหนรถเมล์วิ่งเร็วกว่า ?
 
ก็ต้องบอกว่า วิธีของของสมาชิกหมายเลข 710551 วิ่งเร็วกว่า วิธีรถเมล์แก้รถติด 2 ครับ
 
 
ข้อเสียของการปล่อยรถเก๋งแบบกระปิดกระปอย (ครั้งละ 10 - 30 วิ)
 
รถเก๋งออกตัวช้า กว่าการปล่อยแบบยาว (ครั้งละ 1 นาที) 
 
จะเสียเวลาในการขึ้นไฟเหลือ ไปฟรีๆ (ประมาณ 4 วิ) มากครั้งขึ้น
 
 
 
หมายเหตุ  การปล่อยรถเก๋งแบบกระปิดกระปอย
 
จะปล่อยรถเก๋งได้น้อย (ช้า) ลงมากๆ

แต่ก็จะปล่อยรถเมล์ได้มากขึ้น (เร็วขึ้น) มากๆ เช่นกัน
 
ดังนั้น ถ้าคิดแบบเผินๆ (แบบโง่ๆ)  จะทำให้รถติดมากขึ้น เพราะปล่อยรถเก๋งได้น้อยลง
 
แต่ในความเป็นจริง 
 
การปล่อยการปล่อยรถเมล์ได้มากขึ้น จะสามารถระบายคน ผ่านสี่แยกได้มากขึ้น
 
ประมาณ 7 เท่า (เป็นอย่างน้อย) ดังต่อไปนี้
 
รถเมล์ยาว 12 ม. ขนคนได้ 70 คน / 1 คัน

รถเก๋งยาว 4.5 ม. ขนคนได้ 2 คน / 1 คัน

ดังนั้น ถ้าจะใช้รถเก๋งขนคน 70 คน จะต้องใช้รถเก๋งประมาณ 35 คัน

ดังนั้น เมื่อนำ รถเก๋ง 35 คัน มาจอดในถนนจะ = 35 x 4.5 = 157 ม.

และบวกช่วงไฟอีกประมาณ 34 ม. = 191 ม.

 

สรุป

คน 70 คน ถ้าใช้รถเมล์ จะใช้ผิวจราจร 12 ม.

คน 70 คน ถ้าใช้รถเก๋ง จะใช้ผิวจราจร 191 ม.

 

หรือ

คน 1 คน ถ้าใช้รถเมล์ จะใช้ผิวจราจร = 12 หาร 70 = 1 7 ซ . ม . / ค น

คน 1 คน ถ้าใช้รถเก๋ง จะใช้ผิวจราจร = 191 หาร 70 = 2 7 0 ซ . ม . / ค น

 

รถเมล์สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากกว่ารถเก๋ง มากกว่า 10 เท่า

รถเมล์ 1 คัน ใช้เวลาปล่อยผ่านสี่แยกประมาณ 6 วิ / 1 คัน ขนคนได้ 70 คน

รถเก๋ง 1 คัน ใช้เวลาปล่อยผ่านสี่แยกประมาณ 2 วิ / 1 คัน ขนคนได้ 2 คน

ดังนั้น ถ้าจะใช้รถเก๋งขนคน 70 คน ปล่อยผ่านสี่แยก จะต้องใช้รถเก๋งถึง 35 คัน

ดังนั้น ถ้าจะใช้รถเก๋ง 35 คัน ปล่อยผ่านสี่แยก จะต้องใช้เวลาประมาณ =

35 x 2 = 70 วินาที

สรุป

คน 70 คน ถ้าใช้รถเมล์ จะใช้เวลาประมาณ 6 วินาที ปล่อยผ่านสี่แยก

คน 70 คน ถ้าใช้รถเก๋ง จะใช้เวลาประมาณ 70 วินาที ปล่อยผ่านสี่แยก

 

ดังนั้น ถ้าต้องการแก้ปัญหาจราจร จะต้องเน้นการปล่อยรถเมล์ให้มาก

กว่ารถเก๋ง เพื่อทำให้สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากขึ้น และ เร็วขึ้น

 

เช่น

ในเวลา 1 นาที ถ้าปล่อยรถเก๋ง ผ่านสี่แยกได้ประมาณ 30 คัน / 1 เลน

หลงดีใจ (แ บ บ โ ง่ ๆ) ว่าสามารถระบายรถได้คล่องตัวดีมากๆ

แต่ในความเป็นจริง

สามารถปล่อยคนผ่านสี่แยกได้เพียง 60 คน เท่านั้น

 

ในเวลา 1 นาที ถ้าปล่อยรถเมล์ ได้เพียง 6 คัน / 1 เลน อาจจะดูว่าน้อย

แต่ในความเป็นจริง

รถเมล์ 6 คันนี้ สามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากถึง 420 คน (รถเมล์ 1 คัน ขนคนได้ 70 คน)

 

ดังนั้น ไม่ว่าจะพยายามปล่อยรถเก๋งผ่านสี่แยกสักเท่าไหร่ ก็ไม่เกิน 60 คน / 1 เลน / 1 นาที

แต่การปล่อยรถเมล์เพียง 6 คัน / 1 เลน / 1 นาที จะสามารถขนคนผ่านสี่แยกได้มากถึง 420 คน / 1 เลน / 1 นาที

ดังนั้น จึง =  4 2 0  ห า ร  6 0  =  7  เท่ า

หมายเหตุ

1 นาที ระบายรถเมล์ได้จำนวน 6 คัน เป็นจำนวนที่ประมาณขึ้น เท่านั้น

 

แต่ถ้ารถเมล์มากๆ แบบหน้าราม วิธี ในวีดีโอ ในกระทู้ รถเมล์แก้รถติด 2 น่าจะดีกว่า

 เพราะ วิธีรถเมล์แก้รถติด 2 สามารถระบายรถเมล์ได้เร็วกว่า แบบการปล่อย
 
รถเมล์แบบสมาชิกหมายเลข 710551 แนะนำ
 
สรุป
 
ถ้าต้องการแก้ปัญหารถติด จะต้องนับจำนวนคน ผ่านสี่แยก

ไม่ใช่นับจำนวนคัน ผ่านสี่แยก
 
 
 
 
ท่านว่า 
2. ใครฝ่าฝืนวิ่งบัสเลน ปรับให้หนัก ลงเฟสประจาน
ผมว่า  
เห็นด้วย 100 % เลยครับ
 
 
 
ท่านว่า 
3. พอทำแบบนี้รถส่วนตัวจะติดหนัก และไปได้ช้ากว่ารถเมล์ รถเมล์วิ่งฉิว รถส่วนตัวติดแหง็ก ไม่นานคนจะกลับมาใช้รถเมลล์แทน
ผมว่า 
เห็นด้วย 100 % เลยครับ
 
 
ท่านว่า 
4. ถ้ารถเมล์ใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง แต่รถส่วนตัว ชั่วโมงครึ่ง คุณจะไปทางไหน
ผมว่า  
เห็นด้วย 100 % เลยครับ
 
แต่ทั้งหมดนี้ อยู่ที่ รัฐ จะเห็นด้วยหรือไม่ สำ คั ญ ที่ สุ ด ครับ ?
 
                             จ บ
 
ความคิดเห็นของสมาชิกหมายเลข 710551
                   
   
นี้คือประโยชน์  ของการแสดงความคิดเห็น
 
 
ทำให้ (ผม) มองเห็นแง่มุมอื่นๆ ได้หลากหลายมากขึ้น 
 
 
ข้อดี ของสมาชิกหมายเลข 710551 อีกข้อคือ ไม่ต้องใช้เงิน (ก่อสร้าง) เลย แม้แต่บาทเดียว
ข้อเสีย คือ ต้องใช้เจ้าหน้าที่ ค่อยดูว่าแยกใดมีรถเมล์มาจอดรอไฟแดง ที่ช่องบัสเลนบ้าง (เท่านัั้น) 
  
 
ดังนั้น
เชิญ ศ. หรือ ดร. หรือ นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ ทุกประเทศในโลก (แต่ต้องเป็นภาษาไทยเท่านั้น เพราะผมอ่านได้ภาษาเดียว) หรือ ตำรวจจราจรถึง ผบกจร. หรือ ข้าราชการ ถึงนายก หรือเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ คนรวย หรือ จนเรียนมาก หรือ น้อย ก็ได้ เห็นด้วยหรือเห็นต่าง ก็ได้ โปรดช่วยแสดงความเห็น เพื่อมาถกเถียงกัน (ต า ม ห ลั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์) เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น (ท่านไม่ต้องเกรงใจผม ผมเองก็ไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว) แต่ไม่โกรธไม่เกลียดกัน มีแต่ขอบคุณอย่างเดียวครับ

 

 

 ผมตั้งกระทู้เรื่อง รถเมล์แก้รถติด 3 (ในพันทิป)

 สมาชิคพันทิป หมายเลข 2085974 แสดงความคิดเห็นเข้ามา

ดังต่อไปนี้

 แนวคิดเรื่อง เลนรถเมล์ทั่วกรุง ไม่ใช่เรื่องใหม่

เคยมีหลายคนคิด+เสนอมาเยอะแล้ว
แต่ไปติดที่ปัญหาด้านเทคนิคหลายอย่าง เช่น


1. แท๊กซี่ จะทำยังไง ?
ปล่อยคนลงกลางถนน ก็ไม่ปลอดภัย
โฉบมาจอดรับ/ส่งคน แต่ไม่สามารถแทรกกลับเข้าไปเลนรถติดได้
สุดท้ายก็ไปขวางรถเมล์อีก

2. รถจอดรับส่งคน/เอาของลง (เช่น ส่งลูกไปโรงเรียน) จะทำยังไง ?
เพราะเจอปัญหาเดียวกับแท๊กซี่ กลับเข้าเลนไม่ได้ (ต้องรอ 15 นาทีกว่ารถจะขยับให้มีที่)

3. ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านซอยลึก /ซอยเปลี่ยว /กลับดึก (รถเมล์หมด)
คนพวกนี้ยังไงก็ต้องใช้รถส่วนตัว

4. คนที่ต้องหิ้วของเยอะๆ /พ่อค้า-แม่ค้า /คนแก่-คนป่วย-คนพิการ
คนพวกนี้ยังไงก็ต้องใช้รถส่วนตัว

5. ถนนที่มีแค่ 2 เลนจะทำยังไง ?
การห้ามจอดรถในบางถนน (เอามาทำเลนรถเมล์) อาจจะเป็นการทำลายธุรกิจการค้าในย่านนั้นทั้งแถบ เลยก็ได้

6. รถไฟฟ้า/MRT/BTS จะทำยังไง ?
แพงกว่า/ช้ากว่า (เสียเวลาขึ้นลงบันได)/สถานีห่างกว่า
ใครมันจะไปขึ้น ในเมื่อรถเมล์เร็วกว่า-ขึ้นลงสะดวกกว่าเยอะ

7. (จากข้อ 2-4) พฤติกรรมคน จะหันเปลี่ยนไปขี่มอไซค์มากขึ้น
กรุงเทพฯ จะกลายเป็น โฮจิมินห์ 2
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 
 
ความคิดเห็นที่ 4
 
 
ผมตอบสมาชิคหมายเลข 2085974
ท่านว่า

แนวคิดเรื่อง เลนรถเมล์ทั่วกรุง ไม่ใช่เรื่องใหม่
เคยมีหลายคนคิด+เสนอมาเยอะแล้ว
แต่ไปติดที่ปัญหาด้านเทคนิคหลายอย่าง เช่น

1. แท๊กซี่ จะทำยังไง ?
ปล่อยคนลงกลางถนน ก็ไม่ปลอดภัย
โฉบมาจอดรับ/ส่งคน แต่ไม่สามารถแทรกกลับเข้าไปเลนรถติดได้
สุดท้ายก็ไปขวางรถเมล์อีก


ผมว่า

ผมเสนอให้เท็กซี่มีสิทธิ วิ่งเข้ามารับ หรือ ส่ง ผู้โดยสารในช่องบัสเลนได้

แต่ให้ถือว่ารถเมล์ เป็นทางหลัก  ส่วนเท็กซี่เป็นทางรอง

ดังนั้น ถ้าวิ่งมาคู่กัน รถเท็กซี่จะต้องให้รถเมล์ผ่านไปก่อนเสมอ

เมื่อเท็กซี่ เข้ามาในช่องบัสเลนแล้ว ถ้ามีช่องให้กลับ ไปในช่องสำหรับรถเก๋ง 
จะต้องขับออกจากช่องบัสเลนทันที 
(ห้ามลักไก่วิ่งต่อในช่องบัสเลนเด็ดขาด ฝ่าฝืนถูกลงโทษ)

แต่ถ้าไม่มีช่องให้เข้าไปในช่องสำหรับรถเก๋งเลย อนุญาติรถเท็กซี่คันนั้นวิ่ง
ในช่องบัสเลนต่อไปได้เรื่อยๆ (จนกว่าจะมีโอกาสกลับเข้าไปในช่องรถเก๋ง)
แต่ถ้าไม่มีโอกาสเลยจริง ก็ให้วิ่งต่อไป จนถึงสี่แยก (จากนั้นก็ทางใครทางมัน)


ท่านว่า

2. รถจอดรับส่งคน/เอาของลง (เช่น ส่งลูกไปโรงเรียน) จะทำยังไง ?
เพราะเจอปัญหาเดียวกับแท๊กซี่ กลับเข้าเลนไม่ได้ (ต้องรอ 15 นาทีกว่ารถจะขยับให้มีที่)

ผมว่า

กรณีส่งลูกไปโรงเรียน ก็คงต้องให้สิทธิ เหมือนกับแท็กซี่ (ทุกประการครับ)


ท่านว่า

3. ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านซอยลึก /ซอยเปลี่ยว /กลับดึก (รถเมล์หมด)
คนพวกนี้ยังไงก็ต้องใช้รถส่วนตัว


ผมว่า

1. อาจให้รถเมล์วิ่งถึงดึกๆ (เพิ่มเวลาวิ่งอีกหน่อย) 
2. ขับรถส่วนตัวออกมาจอดไว้หน้าปากซอย หรือ จุดจอดแล้วจร (ของรัฐบาล)
3. รัฐต้องสร้างที่จอดแล้วจร มากๆๆๆๆ เป็นต้น
หมายเหตุ
วิธีนี้ ไม่ได้บังคับใครให้มาใช้รถเมล์ ถ้าใครไม่สะดวก หรือ เข้าไม่ถึงบริการของรัฐ
ก็ใช้รถเก๋งต่อไปได้ครับ


ท่านว่า

4. คนที่ต้องหิ้วของเยอะๆ /พ่อค้า-แม่ค้า /คนแก่-คนป่วย-คนพิการ
คนพวกนี้ยังไงก็ต้องใช้รถส่วนตัว

ผมว่า

ข้อนี้เห็นด้วยทุกประการครับ



ท่านว่า

5. ถนนที่มีแค่ 2 เลนจะทำยังไง ?
การห้ามจอดรถในบางถนน (เอามาทำเลนรถเมล์) อาจจะเป็นการทำลายธุรกิจการค้าในย่านนั้นทั้งแถบ เลยก็ได้

ผมว่า

ควรเลือกเริ่มทำในถนนที่มีเลนมากๆ ก่อน หรือ ทำในถนนที่มีปัญหาจราจรน้อยๆ ก่อน
เพราะ ไม่เช่นนั้นอาจจะมี รถติดล็อคเป็นวงแหวน 

เพราะถนนที่ใช้วิธีนี้ จะมีเลนลดลง 1 เลน (เลนซ้ายสุด) เพื่อใช้ทำเป็นช่องบัสเลน
จากนั้นเมื่อมีผู้ใช้รถเก๋ง เปลี่ยนมาใช้รถเมล์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จึงค่อยๆ 
ใช้วิธีนี้ กับถนนที่มีปัญหาจราจรมากขึ้น (ทีละน้อยๆ) หรือในถนนที่มีจะนวนเลนน้อยๆ 
(ค่อยๆ ที่ละน้อยๆ) 
โดยให้คอยดูว่า เกิดปัญหารถติดเป็นวงแหวนอีกหรือไม่ ถ้าเกิดอีก ก็ให้เลิกใช้วิธีนี้ 
ในถนนนั้นๆ ไปก่อน 

หมายเหตุ วิธีนี้จะดูดซับรถเก๋ง (ให้เปลี่ยนมาใช้รถเมล์) ออก ทีละน้อย ๆ
ดังนั้น จะต้องคอยดูว่า ในถนนที่เคยใช้แล้วมีปัญหา นั้น ปัญหาลดลงแล้วหรือยัง และ
ลดลงมากพอที่จะเริ่มใช้วิธีนี้ ในถนนนั้นๆ ได้แล้วหรือยัง (ไม่ต้องรีบมากเกินไป)

สรุป ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ในถนนทุกเส้น ทุกสาย เพราะในถนนที่มีปัญหามากๆ อยู่แล้ว ถ้ายังเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้อีก อาจทำให้ถนนนั้นมีรถติดเป็นวงแหวนได้
ส่วนในถนน 4 เลน (ฝั่งละ 2 เลน) ให้แบ่งกันใช้ (รถเก๋ง 1 เลน รถเมล์ 1 เลนครับ)
สรุป ถนนบางเส้นอาจจะไม่เหมาะกับวิธีนี้ ดังนั้น ก็ไม่ต้องมีช่องบัสเลนก็ได้
ส่วนเรื่อง จะกระทบการค้า ธุระกิจในย่านนั้นทั้งแถบ อันนี้ก็ต้องมาบวกลบกัน (เป็นจุดๆ ไป)

ท่านว่า

6. รถไฟฟ้า/MRT/BTS จะทำยังไง ?
แพงกว่า/ช้ากว่า (เสียเวลาขึ้นลงบันได)/สถานีห่างกว่า
ใครมันจะไปขึ้น ในเมื่อรถเมล์เร็วกว่า-ขึ้นลงสะดวกกว่าเยอะ

ผมว่า

ผมว่าความเร็วอาจจะสูสีกัน (ตามที่ท่านว่า) รถเมล์อาจจะด้อยกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เพราะรถเมล์ต้องจอดป้ายรถเมล์ เกือบทุกๆ 200 ม. และ ยังมีไฟแดงอีก
สรุป ตัวใครตัวมันครับ 
ถ้าคนขึ้นรถไฟฟ้าคนขึ้นน้อยลง ก็ลดราคาลงสู้กับรถเมล์ได้ครับ



ท่านว่า

7. (จากข้อ 2-4) พฤติกรรมคน จะหันเปลี่ยนไปขี่มอไซค์มากขึ้น

ผมว่า

แบบเวียดนามหรือ ?

 

guest
ประสิทธิ์ รจิตรังสรรค์
- Guest -

2016-05-24 06:41:24.0 Post : 2016-05-24 06:41:24.0

 ช่องบัสเลน ในปัจจุบันมี 2 แบบ

 
1. ช่องบัสเลนแบบตามสัญญาณไฟจราจร คือ รถเมล์ในช่องบัสเลนจะต้องหยุดเมื่อเจอไฟแดง และออกจากสี่แยกเมื่อได้ไฟเขียว และจะอยู่ในเลนซ้ายสุดเลนเดียว (แบบแถวตอนเรียงหนึ่ง) ติดไฟแดงครั้งละประมาณ 180 วินาที ทำให้บางที่อาจจะต้องติดมากกว่า 1 ไฟแดง เช่น บัสเลนที่รามคำแหง มีรถเมล์รอไฟเขียว 20 - 30 คัน เป็นต้น
 
2. ช่องบัสเลนแบบผ่านตลอด คือ รถเมล์ในช่องบัสเลนนี้ จะวิ่งผ่าไฟแดงได้เลย ทำให้รถเมล์ในช่องบัสเลนแบบนี้วิ่งได้เร็วที่สุด แต่เป็นวิธีที่ทำให้รถอื่นๆจะต้องวิ่งคู่ขนานไปกับช่องบัสเลนนี้ไปด้วย 
  ส่วนรถอื่นๆในฝั่งตรงข้าม ก็ไม่สามารถเลี้ยวตัดผ่านช่องบัสเลนนี้ได้ 
  ทำให้รถอื่นๆ (ทั้ง 2 ฝั่ง) ต้องวิ่งจากต้นทาง (ของช่องบัสเลนนี้) ไปจนถึงปลายทาง (ของช่องบัสเลนนี้) แล้วค่อยยูเทรินกลับ จึงทำให้เกิดรถติดสะสมที่ต้น และปลายทางของช่องบัสเลนนี้ มากจนอาจเกิดรถติดยาวสะสมยาวไปถึงสี่แยก (เกิดเป็นรถติดแบบวงแหวน) แก้ไม่ได้ 
   เมื่อรถในสี่แยกนี้ ได้ไฟเขียวแล้ว แต่วิ่งออกไม่ได้ เพราะท้ายแถวรถติดมันยาวจนเต็มถึงสี่แยกนี้
 
3. ช่องบัสเลนประยุกต์ เป็นวิธีที่ทำให้รถเมล์ติดไฟแดงประมาณครั้งละ 1.18 นาที (ดูรายละเอียดเพิ่มในวีดีโอ) โดยจะแบ่งถนนออกเป็น 3 ช่อง คือ
1. ช่องรวม คือ เลนทุกๆเลนในถนนนั้นๆ ใช้สำหรับให้รถเมล์ และ รถเก๋ง สลับกันเข้ามาในช่องนี้ โดยถ้าให้รถเมล์วิ่งเข้ามาในช่องรวมนี้ จะต้องให้รถเก๋ง (รถอื่นๆ) จอดรอไฟแดงไว้ก่อน 
   แต่ถ้าให้รถเก๋ง (รถอื่นๆ) วิ่งเข้ามาในช่องรวม ก็จะต้องให้รถเมล์ จอดรอไฟแดงไว้ก่อนเช่นกัน
   หมายเหตุ ช่องรวมนี้อาจจะยาวประมาณ 30 หรือ 60 หรือ 100 ม. หรือมากกว่านั้นก็ได้ (ขึ้นอยู่กับปริมาณรถเมล์ในถนนนั้นๆ หรือ ความยาวในถนนนั้นๆ)
2. ช่องสำหรับรถเมล์ คือ เลนซ้ายสุดของถนนนั้นๆ แต่จะติดตั้งสัญญาณไฟ แดง เหลือง เขียว (ที่ท้ายช่องรวม) เพิ่ม เพื่อใช้ห้ามและปล่อยรถเมล์ในช่องบัสเลนนี้
3. ช่องสำหรับรถเก๋ง คือ เลนทุกเลนที่อยู่ติดกับช่องบัสเลนนี้ และจะติดตั้งสัญญาณไฟ แดง เหลือง เขียว (ที่ท้ายช่องรวม) เพิ่มอีก 1 จุด เพื่อใช้ห้ามและปล่อยรถเก๋ง ในช่องสำหรับรถเก๋งนี้
   หมายเหตุ รถเก๋งในที่นี้ หมายรวมถึงรถอื่นๆทั้งหมด ที่ไม่ใช่รถเมล์ แต่ขอเรียกสั้นๆว่ารถเก๋ง เท่านั้น
           รถเมล์ในที่นี้ หมายรวมถึงรถตู้ด้วย
   ดังนั้น ถ้าปล่อยรถเมล์เข้ามาในช่องรวม จะต้องห้ามรถเก๋งไว้ก่อน และรถเมล์จะวิ่งเข้ามาในทุกๆเลนของช่องรวมนี้ โดยรถเมล์ที่ต้องการเลี้ยวขวาให้เข้ามาจอดในเลนขวาสุด หรือเลนติดกับขวาสุด (ถ้าเป็นถนนที่มีเลนมากๆ) ส่วนรถเมล์ที่ต้องการวิ่งตรงให้เลือกจอดรอในเลนกลางๆ ส่วนรถเมล์ที่ต้องการเลี้ยวซ้ายให้เลือกจอดรอในเลนซ้ายสุด 
   และเมื่อรถในช่องรวมนี้ได้ไฟเขียว รถเมล์ทุกๆเลนในช่องรวมนี้ จะวิ่งออกพร้อมๆกัน ทุกๆเลน (แบบเรียงหน้ากระดาน) ทำให้สามารถปล่อยรถเมล์ออกจากสี่แยกได้เร็วกว่า การปล่อยรถเมล์ แบบแถวตอนเรียงหนึ่งมากๆ ทำให้ใช้เวลาในการปล่อยรถเมล์น้อยลง (ประมาณ 6 วิ / 1คัน / 1เลน)
 
   วิธีปล่อยรถในช่องบัสเลนประยุกต์
   จะให้รถเก๋งเข้ามาจอดรอในช่องรวม 1 แยก ส่วนในอีก 3 แยกที่เหลือ จะให้รถเมล์เข้ามาจอดในช่องรวมนี้
   จากนั้นให้ปล่อยรถเก๋งในช่องรวม 1 นาที และเมื่อครบ 1 นาทีแล้ว ให้ปล่อยรถเมล์เข้ามาในช่องรวมของแยกนี้แทน
   จากนั้นให้ปล่อยรถเมล์ในช่องรวม (ในอีก 3 แยกที่เหลือ) แยกละประมาณ 6 วินาที
แต่ถ้าแยกใดมีรถเมล์มากๆ ก็จะต้องเพิ่มเวลาเพื่อปล่อยรถเมล์ในแยกนั้นๆ (ให้หมดให้ได้) เช่น อาจเพิ่ม เป็น 12 หรือ 18 หรือ 24 วินาที หรือมากกว่านั้นก็ได้ จนกว่ารถเมล์ในแยกนั้นๆ จะหมด
   แต่ถ้าใน 3 แยกนี้ มีแยกใด ไม่มีรถเมล์จอดรอในช่องรวมนี้ ก็ให้ข้ามไป
   ดังนั้นเวลาในการปล่อยรถเมล์ อาจจะมากหรือน้อย ก็ได้ ขึ้นอยู่กับรถเมล์ในช่องรวมนี้ ถ้ามีมากจะต้องปล่อยให้หมดให้ได้ แต่ถ้าไม่มี ก็ให้ข้ามไปปล่อยในแยกอื่น
   จากนั้น ให้ปล่อยรถเมล์ในช่องรวม ในแยกที่ 4 (ในแยกสุดท้าย) ถ้ามีมากให้ปล่อยให้หมด (ให้ได้)  แต่ถ้าไม่มี ก็ไม่ต้องปล่อย
   จากนั้น ให้เลือกปล่อยรถเก๋ง (ในแยกใดแยกหนึ่ง) เป็นแยกที่ 2 (ในช่องรวม) ประมาณ 1 นาที
   จากนั้น ให้ปล่อยรถเมล์ในช่องรวม (ทั้ง 4 แยก) เหมือนที่ได้กล่าวไปแล้ว
   จากนั้น ให้เลือกปล่อยรถเก๋ง (ในแยกใดแยกหนึ่ง) เป็นแยกที่ 3 (ในช่องรวม) ประมาณ 1 นาที
   จากนั้น ให้ปล่อยรถเมล์ในช่องรวม (ทั้ง 4 แยก) เหมือนที่ได้กล่าวไปแล้ว
   จากนั้น ให้เลือกปล่อยรถเก๋ง ........ วนๆ เช่นนี้จนครบสี่แยก (สลับกันระหว่างรถเก๋ง กับรถเมล์ ในช่องรวม)
 
 
   หมายเหตุ การปล่อยรถเก๋ง จะขึ้นไฟเขียวพร้อมกันในช่องรวม กับ ช่องสำหรับรถเก๋ง (ของแยกนั้นๆ) ส่วนช่องสำหรับรถเมล์ ในแยกนั้นๆ ให้ขึ้นไฟเขียวไว้ จนกว่าจะปล่อยรถเก๋งครบ 1 นาทีแล้ว ค่อยขึ้นไฟแดงในช่องรถเก๋ง และ ขึ้นไฟเขียวในช่องรถเมล์ ในแยกนั้นแทน ส่วนในช่องรวมให้ขึ้นไฟเขียวไว้ก่อน
   หมายเหตุ การปล่อยรถเมล์ จะขึ้นไฟเขียวพร้อมกันในช่องรวม กับ ช่องบัสเลน (ของแยกนั้นๆ) ส่วนช่องสำหรับรถเก๋ง ในแยกนั้นๆ ให้ขึ้นไฟแดงไว้ก่อน จนกว่าจะปล่อยรถเมล์ ออกหมดทั้ง 4 แยกแล้ว ค่อยเลือกขึ้นไฟเขียวในช่องสำหรับรถเก๋ง (แยกใดแยกหนึ่ง) และในแยกนั้น ให้ขึ้นไฟแดงในช่องบัสเลน (ในแยกนั้น)
 
    ดังนั้น รถเมล์ในช่องบัสเลนประยุกต์ จะทำให้รถเมล์วิ่งเร็วกว่าปรกติ 3 เท่า (จาก 8 กม. / ชม. / ในเวลาเร่งด่วน  เป็น 24 กม. / ชม. ในเวลาเร่งด่วน)
 
    และทำให้ผู้ใช้รถเก๋งที่ต้องการรีบ จะเปลี่ยนมาใช้รถเมล์มากขึ้นมากๆๆๆ ทำให้ท้ายแถวรถติดที่เคยยาวมากๆๆๆ จะหดสั้นลง  เพราะการเน้นการปล่อยรถเมล์มากกว่ารถเก๋ง ทำให้รถเมล์วิ่งเร็วกว่ารถเก๋งมากๆๆๆ  จึงทำให้ปัญหารถติดแก้ได้ทันที
 
   ดูวีดีโอประกอบ พิมพ์ "ใช้รถเมล์แก้ปัญหาจราจร" ในยูทูป
 
   หรือพิมพ์ "รู้ไว้ใช่ว่า"  ในพันทิป ที่เกียวกับรถเมล์ (มีมากมาย)

guest
ชื่อ
Email
เบอร์โทรศัพท์